จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ครอบคลุมทั้งสิทธิพื้นฐานที่ควรได้หลังเกิดอุบัติเหตุ

 หลายคนเมื่อประสบอุบัติเหตุ มักไม่รู้ว่าตัวเอง “มีสิทธิ” อะไรบ้าง และควร “ใช้สิทธิ” อย่างไรให้ครบถ้วน เพื่อไม่ให้เสียเปรียบบริษัทประกัน หรือคู่กรณี

ผมขอสรุปให้แบบเข้าใจง่าย ครอบคลุมทั้งสิทธิพื้นฐานที่ควรได้หลังเกิดอุบัติเหตุ พร้อมกฎหมายและแนวทางที่ควรรู้ไว้:


✅ สรุปเรื่องราวโดยรวม:

“หลังเกิดอุบัติเหตุ เราควรมีสิทธิ และใช้สิทธิอะไรได้บ้าง?”


1. สิทธิในการซ่อมรถ

  • ถ้าคู่กรณีเป็นฝ่ายผิด และรถเรามีประกัน (หรือแม้ไม่มีประกัน)
    👉 เรามีสิทธิเรียกร้องให้บริษัทของคู่กรณี รับผิดชอบค่าซ่อมทั้งหมด

อ้างอิงกฎหมาย:

  • มาตรา 420 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (เรื่องละเมิด): ผู้ใดทำให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย ต้องชดใช้เต็มจำนวน


2. สิทธิในการเลือกอู่ซ่อม

  • เรามีสิทธิเลือกว่าจะซ่อมที่อู่ไหนในจังหวัดใดก็ได้ โดยไม่ต้องฟังความเห็นจากบริษัทประกัน
    เพราะเป็นสิทธิของผู้เสียหายในการเลือกใช้บริการ


3. สิทธิในการเรียก “ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ”

หากรถเราเข้าซ่อม และไม่สามารถใช้งานได้ระยะหนึ่ง
เรามีสิทธิเรียกเงินชดเชย แม้ไม่ได้เช่ารถมาใช้แทนก็ตาม

จำนวนเงินเรียกได้:

  • โดยทั่วไป วันละ 300–1,000 บาท

  • ขึ้นอยู่กับประเภทรถและหลักฐานประกอบ (เช่น รถเก๋ง 500–700 บาท/วัน ถือว่าเหมาะสม)

จำนวนวันที่เรียกได้:

  • ต้องอ้างอิงจากใบรับรถ และระยะเวลาจริงที่รถซ่อม

อ้างอิง:

  • แนวคำพิพากษาศาลฎีกา (เช่น คำพิพากษาฎีกาที่ 1186/2552)

  • แนวปฏิบัติของ คปภ. และมาตรา 420 แห่งประมวลแพ่งฯ เช่นกัน


4. สิทธิในการเรียก “ค่าเสื่อมราคารถ”

ถ้ารถแม้จะซ่อมแล้ว แต่มีร่องรอยประวัติ ทำให้ราคาตก
พี่มีสิทธิเรียกค่าเสื่อมราคาจากบริษัทประกันของคู่กรณี

✅ ต้องมีหลักฐาน เช่น:

  • หนังสือประเมินมูลค่ารถหลังซ่อมจากเต็นท์รถ

  • ราคาขายก่อน-หลังชน

  • คำรับรองจากผู้ประเมินมูลค่ารถยนต์อิสระ

➡️ โดยทั่วไปเรียกร้องได้ ประมาณ 10,000–50,000 บาท ขึ้นอยู่กับสภาพรถและมูลค่าก่อนชน


5. สิทธิในการร้องเรียนเมื่อไม่ได้รับความเป็นธรรม

ถ้าบริษัทประกัน เพิกเฉย, ยื้อเวลา, จ่ายไม่ครบ, หรือพูดจาไม่เหมาะสม
พี่สามารถร้องเรียนต่อ “คปภ.” ได้เลย

อ้างอิงกฎหมาย:

  • พ.ร.บ.ประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535

    • มาตรา 30: ต้องจ่ายสินไหมภายใน 15 วันหลังเอกสารครบ

    • มาตรา 38–39: คปภ.มีอำนาจไกล่เกลี่ย แนะนำบริษัท และดำเนินคดีแทนผู้เสียหายได้

✅ วิธีดำเนินการ:

  • ยื่นหนังสือร้องเรียน + แนบเอกสารหลักฐาน เช่น อีเมล ใบรับรถ ใบเสนอราคา

  • ติดต่อ คปภ. สาขาใกล้บ้าน หรือยื่นผ่านระบบออนไลน์ที่เว็บ www.oic.or.th


6. สิทธิในการฟ้องศาล ถ้าบริษัทไม่ยอมไกล่เกลี่ย

หากเจรจาไม่ได้ผล พี่มีสิทธิฟ้องศาลแพ่งเพื่อเรียกเงินชดเชยทั้งหมดได้

✅ ถ้ายอดไม่เกิน 300,000 บาท ไม่จำเป็นต้องใช้ทนาย
✅ ศาลมักยึดหลัก “พฤติกรรมของคู่กรณี” และ “เอกสารยืนยันความเสียหาย” เป็นหลัก


 สรุปสั้นๆ แบบเอาไปใช้ได้จริง:

สิทธิของพี่สิ่งที่ควรทำ
รถเสีย – คู่กรณีผิด     เรียกค่าซ่อม + ซ่อมอู่ที่พี่เลือก
ซ่อมนาน     เรียกค่าขาดประโยชน์ วันละ 300–1,000 บาท
ราคาตก     เรียกค่าเสื่อมราคา (ต้องมีหลักฐาน)
ประกันยึกยัก     ร้องเรียน คปภ. ภายใน 1 ปี
ไม่จ่ายหรือจ่ายน้อย     ฟ้องศาลแพ่ง ยอดไม่เกิน 3 แสน ไม่ต้องมีทนายก็ได้


.................................

🛻 สรุปเรื่องราว: "หลังเกิดอุบัติเหตุ เราควรมีสิทธิ์ และใช้สิทธิ์อะไรได้บ้าง?"

  1. เมื่อเกิดอุบัติเหตุ และเราเป็นฝ่ายถูก
    ถ้ารถของพี่ถูกชนโดยคู่กรณีที่มีประกัน เราสามารถเรียกร้องไปที่บริษัทประกันของฝ่ายผิดได้เลย โดยไม่ต้องติดต่อฝ่ายตรงข้ามเอง เพราะบริษัทประกันมีหน้าที่รับผิดแทนลูกค้าของเขา

  2. เราเลือกอู่ซ่อมเองได้
    พี่สามารถนำรถไปซ่อมที่อู่ไหน จังหวัดใดก็ได้ ไม่ต้องอยู่ในจังหวัดที่เกิดเหตุ หรือที่บริษัทแนะนำ เพราะกฎหมายไม่ได้บังคับว่าต้องเลือกอู่ตามใจบริษัท เราเป็นผู้เสียหาย มีสิทธิเลือกเองเต็มที่

  3. มีสิทธิ์เรียก "ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ"
    ช่วงที่รถพี่ซ่อมอยู่ เราไม่ได้ใช้รถ ถือว่าเสียประโยชน์จากการครอบครองทรัพย์ กฎหมายเปิดทางให้เรียกเงินชดเชยได้ โดยไม่ต้องไปเช่ารถจริงก็ยังเรียกได้
    ถ้าเรามีเอกสารชัดเจน เช่น ใบรับรถจากอู่ ระบุวันซ่อมเริ่มต้นและวันเสร็จเรียบร้อย เราก็มีสิทธิ์ขอค่าชดเชยได้ตามจำนวนวันนั้น เช่น 45 วัน วันละ 500 บาท รวม 22,500 บาท เป็นสิทธิ์โดยตรงที่ไม่ควรโดนตัด

    อ้างอิงตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ซึ่งระบุว่า ผู้ใดทำละเมิดให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย ต้องชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมด

  4. สามารถเรียก “ค่าเสื่อมราคา” ได้อีกต่างหาก
    แม้รถซ่อมเสร็จแล้ว แต่เพราะมันเคยชน ราคาขายต่อจะตกลงแน่นอน ตรงนี้เรียกว่า "ค่าเสื่อมจากอุบัติเหตุ"
    พี่สามารถเรียกเพิ่มได้อีก เช่น 10,000–30,000 บาท แล้วแต่รถและความเสียหาย
    ถ้าเต็นท์รถประเมินว่ารถพี่ขายได้ราคาน้อยลงเพราะเคยมีประวัติชน ก็ถือเป็นหลักฐานสำคัญในการเรียกร้อง

  5. ห้ามบริษัทประกัน "มั่วตัดสิทธิ์" หรือ "จ่ายเท่าที่เขาอยากจ่าย"
    ถ้าบริษัทบอกว่าจะจ่ายแค่บางวัน เช่น 20 วันจาก 45 วัน โดยไม่มีเหตุผลชัดเจน แบบนี้ถือว่าไม่เป็นธรรม
    เขาต้องอธิบายได้ว่าทำไมลดวัน ถ้าแค่อ้างว่า "ประเมินว่าไม่น่าจะซ่อมนานขนาดนั้น" แบบนี้ไม่ใช่เหตุผลทางกฎหมาย

  6. ถ้าประกันยึกยัก ไม่ชัดเจน หรือเงียบไปนาน เราร้องเรียน คปภ. ได้เลย
    คปภ. หรือสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เป็นหน่วยงานรัฐที่ช่วยคุ้มครองผู้บริโภคโดยตรง
    พี่สามารถร้องเรียนว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือบริษัทประกันเพิกเฉย ล่าช้า จ่ายไม่ครบ
    คปภ.จะช่วยเรียกบริษัทประกันมาไกล่เกลี่ยให้
    ถ้าตกลงกันไม่ได้ ก็สามารถฟ้องศาลได้ในภายหลัง

    กฎหมายที่ใช้คือ พ.ร.บ.ประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535
    โดยเฉพาะ มาตรา 30 ที่บอกว่าบริษัทประกันต้องจ่ายสินไหมใน 15 วัน หลังเอกสารครบ
    ถ้าจ่ายช้า ไม่จ่าย หรือจ่ายน้อยกว่าความเป็นจริง คปภ.มีอำนาจไกล่เกลี่ย และเสนอแนะได้ตาม มาตรา 38–39

  7. ถ้ายังไม่ได้ตามที่ควร พี่สามารถฟ้องศาลได้เอง
    ถ้ายอดเรียกร้องไม่เกิน 300,000 บาท ไม่ต้องมีทนายก็ฟ้องได้ โดยใช้เอกสารทั้งหมดที่มีมายื่นต่อศาลแพ่ง
    เช่น หนังสือเรียกร้อง, อีเมลที่ติดต่อ, ใบรับรถ, รูปถ่ายความเสียหาย และหลักฐานว่าประกันไม่ตอบ


🎯 สรุปสั้น ๆ อีกที:
หลังเกิดอุบัติเหตุ พี่มีสิทธิได้รับ

  • ค่าซ่อมรถ

  • ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ (แม้ไม่ได้เช่ารถ)

  • ค่าเสื่อมราคารถ

  • และถ้าบริษัทประกันเพิกเฉยหรือจ่ายน้อยกว่าที่ควร พี่มีสิทธิร้องเรียน คปภ. หรือฟ้องศาลได้

ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ "ของแถม" หรือ "ต้องไปขอความเมตตา" นะครับ
แต่มันคือ สิทธิของผู้เสียหายตามกฎหมายอย่างเต็มตัว

........................................

 “หนังสือร้องเรียนถึง คปภ.” ให้ในรูปแบบที่สามารถใช้ได้จริง 

ชื่อ - สกุลผู้ร้องเรียน : [นางสาวแจ่มจันทร์ ใจเด็ด]  

ที่อยู่ : [123 หมู่ 4 ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช 80000]  

เบอร์โทรศัพท์ : 08x-xxx-xxxx  

อีเมล : jamjan.jaided@email.com  


วันที่ : [ระบุวันที่ยื่น]


เรื่อง : ขอความเป็นธรรมกรณีบริษัทประกันภัยจ่ายค่าสินไหมไม่ครบถ้วน


เรียน : เลขาธิการสำนักงาน คปภ.


ข้าพเจ้า [นางสาวแจ่มจันทร์ ใจเด็ด] ขอเรียนร้องเรียนกรณีที่บริษัท [ชื่อบริษัทประกันภัยของคู่กรณี เช่น บริษัท ก. จำกัด (มหาชน)]  

เพิกเฉยต่อการพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่ครบถ้วนและเป็นธรรม ตามสิทธิของข้าพเจ้าที่พึงได้รับหลังเกิดอุบัติเหตุจราจร


รายละเอียดเหตุการณ์โดยสังเขป มีดังนี้


เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2563 รถยนต์ของข้าพเจ้า (ทะเบียน [กข-1234 ภูเก็ต]) ถูกคู่กรณีเฉี่ยวชนในจังหวัดภูเก็ต โดยคู่กรณีเป็นฝ่ายผิด และมีประกันภัยกับบริษัท ก.  

ข้าพเจ้านำรถเข้าซ่อมที่อู่ในจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งใช้ระยะเวลาซ่อมทั้งหมด 45 วัน


หลังจากซ่อมเสร็จ ข้าพเจ้าได้ยื่นคำร้องขอค่าสินไหมทดแทนจากบริษัท ก. ได้แก่  

1. ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ จำนวน 22,500 บาท (วันละ 500 บาท เป็นเวลา 45 วัน)  

2. ค่าเสื่อมราคารถจากอุบัติเหตุ จำนวน 20,000 บาท  


แต่บริษัท ก. พิจารณาอนุมัติให้เพียงบางส่วน โดยจ่ายเพียง 12,500 บาท และไม่ตอบสนองต่อข้อเรียกร้องอื่นใดของข้าพเจ้า แม้ข้าพเจ้าจะติดตามและส่งหนังสือทวงถามไปหลายครั้ง ทั้งทางโทรศัพท์และอีเมล  


ข้าพเจ้าถือว่าการพิจารณาและการให้บริการของบริษัทดังกล่าว ไม่เป็นธรรม ล่าช้า และไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายและจรรยาบรรณในการประกันภัย


ข้าพเจ้าจึงใคร่ขอให้สำนักงาน คปภ. ได้พิจารณาช่วยเหลือและเรียกบริษัทฯ มาเจรจาไกล่เกลี่ย โดยข้าพเจ้าขอเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามรายการเดิม รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 42,500 บาท


ขอความกรุณาจากสำนักงาน คปภ. ช่วยดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ด้วย


จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา


ขอแสดงความนับถือ


[ลงชื่อ] ....................................  

(นางสาวแจ่มจันทร์ ใจเด็ด)


..........................................

📌 เอกสารที่ควรแนบพร้อมหนังสือร้องเรียน:

  1. สำเนาบัตรประชาชน

  2. สำเนาทะเบียนรถ

  3. เอกสารแสดงการซ่อมรถ เช่น ใบรับรถ ใบเสร็จจากอู่

  4. อีเมลหรือจดหมายโต้ตอบกับบริษัทประกัน

  5. หนังสือที่เคยยื่นทวงถาม (ถ้ามี)

  6. หลักฐานประกอบค่าเสื่อมราคา (ถ้ามี เช่น ใบประเมินราคา)

  7. .

................................................................................


(ตัวอย่างเอกสารพิมพ์จริง สำหรับยื่น คปภ.)


นางสาวแจ่มจันทร์ ใจเด็ด
123 หมู่ 4 ตำบลในเมือง
อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช 80000
โทรศัพท์: 08x-xxx-xxxx
อีเมล: jamjan.jaided@email.com

วันที่ ………….. เดือน ………………… พ.ศ. 256…

เรื่อง : ขอความเป็นธรรมกรณีบริษัทประกันภัยจ่ายค่าสินไหมไม่ครบถ้วน

เรียน : เลขาธิการสำนักงาน คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)

ข้าพเจ้า นางสาวแจ่มจันทร์ ใจเด็ด ขอเรียนร้องเรียนกรณีที่บริษัทประกันภัยของคู่กรณี คือ บริษัท ก. จำกัด (มหาชน) ได้เพิกเฉยและปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทนบางส่วน ทั้งที่เป็นสิทธิที่ข้าพเจ้าควรได้รับโดยชอบธรรม ภายหลังอุบัติเหตุจราจรที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2563 ณ จังหวัดภูเก็ต

รายละเอียดโดยสรุป มีดังนี้

ข้าพเจ้าเป็นเจ้าของรถยนต์ทะเบียน [กข-1234 ภูเก็ต] ซึ่งประสบอุบัติเหตุถูกรถของคู่กรณีเฉี่ยวชน โดยคู่กรณีเป็นฝ่ายผิดและมีประกันภัยกับบริษัท ก.
ข้าพเจ้านำรถเข้าซ่อมที่อู่ในจังหวัดนครศรีธรรมราช ใช้เวลาซ่อมทั้งหมด 45 วัน ซึ่งส่งผลให้ข้าพเจ้าไม่ได้ใช้รถในช่วงเวลาดังกล่าว
เมื่อซ่อมรถเสร็จ ข้าพเจ้าได้ดำเนินการยื่นคำร้องขอค่าสินไหมทดแทนกับบริษัทประกันภัยฝ่ายคู่กรณี ในรายละเอียดดังนี้:

  1. ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ (45 วัน × 500 บาท) รวมเป็นเงิน 22,500 บาท

  2. ค่าเสื่อมราคารถจากอุบัติเหตุ จำนวน 20,000 บาท

แต่ทางบริษัทฯ ได้พิจารณาและแจ้งผลว่าขอจ่ายค่าสินไหมเพียงบางส่วน คือ 12,500 บาท โดยให้เหตุผลไม่ชัดเจน และไม่มีเอกสารอธิบายประกอบอย่างเป็นทางการ อีกทั้งเมื่อข้าพเจ้ายื่นข้อเรียกร้องเพิ่มเติม และติดต่อไปยังสำนักงานใหญ่ของบริษัทหลายครั้ง กลับไม่ได้รับการดำเนินการใดๆ เพิ่มเติม อีกทั้งบริษัทฯ ยังเพิกเฉยต่อคำร้องและการประสานงานของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าถือว่าการกระทำของบริษัทประกันภัยดังกล่าว เข้าข่ายละเมิดสิทธิของผู้เอาประกันภัยและผู้เสียหาย และขัดต่อหลักเกณฑ์การจ่ายค่าสินไหมตามกฎหมายและจรรยาบรรณแห่งการประกอบธุรกิจประกันภัย

ข้าพเจ้าจึงใคร่ขอให้สำนักงาน คปภ. ได้พิจารณาไกล่เกลี่ยและดำเนินการกับบริษัทประกันภัยดังกล่าว เพื่อให้ข้าพเจ้าได้รับค่าสินไหมตามข้อเรียกร้องเต็มจำนวน รวมเป็นเงิน 42,500 บาท (สี่หมื่นสองพันห้าร้อยบาทถ้วน)

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา

ขอแสดงความนับถือ

(ลงชื่อ) .....................................................
(นางสาวแจ่มจันทร์ ใจเด็ด)


✅ เอกสารแนบประกอบ

  • สำเนาบัตรประชาชน

  • สำเนาทะเบียนรถ

  • เอกสารรับรถจากอู่ หรือใบเสร็จการซ่อม

  • หนังสือทวงถามหรืออีเมลที่เคยส่งถึงบริษัทประกัน

  • เอกสารผลการพิจารณาของบริษัท (ถ้ามี)

  • หลักฐานการประเมินค่าเสื่อมราคารถ (ถ้ามี)



************************

ผมขอสรุปให้ว่า “มีอะไรที่ยังไม่ได้บอกชัด” หรือ “ควรเพิ่มเติมเพื่อให้เรื่องร้องเรียนแน่นยิ่งขึ้น” ดังนี้:


1. พยานหลักฐานสำคัญ ที่ควรระบุให้ชัดเจน

  • ทะเบียนรถของคู่กรณี: ถ้ายังไม่ได้ใส่ในหนังสือ ให้ระบุไว้ด้วย เพราะจะช่วยให้ คปภ. สืบเรื่องได้ไวขึ้น

  • เลขที่เคลม หรือเลขที่รับเรื่องจากบริษัทประกัน: สำคัญมาก เพราะบริษัทฯ ใช้ติดตามเคสนี้

  • ชื่อผู้ประสานงาน/เจ้าหน้าที่ฝ่ายสินไหมของบริษัทที่ติดต่อด้วย: ใส่ชื่อ-เบอร์ไว้เลย ถ้ามี จะช่วยเร่งรัดและชี้เป้าให้ คปภ. ตรวจสอบได้ตรงตัว

  • วันที่ที่มีการติดต่อ-ตอบกลับกัน (หลักฐานแนบควรมี): เช่น มีอีเมลตอบว่า "ขอพิจารณา 5 วัน" ก็แนบประกอบให้ครบ


2. อ้างอิงข้อกฎหมายเพิ่มเติม (กรณีต้องโต้แย้ง)

พี่สามารถอ้างถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการแนบท้ายเอกสารหรือพูดตอนเจรจาไกล่เกลี่ยได้ เช่น:

  • ประกาศ คปภ. เรื่องหลักเกณฑ์การจ่ายค่าสินไหมทดแทนกรณีค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ

    บริษัทประกันต้องจ่าย “ตามความจำเป็นและสมเหตุสมผล” ซึ่งสามารถใช้ "ระยะเวลาจริงที่ใช้ซ่อมรถ" เป็นหลักอ้างอิงได้
    หากมีการ “ลดวัน” ต้องมีเหตุผลประกอบชัด เช่น อู่ซ่อมล่าช้าโดยไม่เกี่ยวกับคู่กรณี (แต่กรณีนี้ พี่เป็นผู้เสียหาย — ยิ่งต้องได้เต็ม)

  • มาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ.2535

    บริษัทประกันต้องชำระค่าสินไหมทดแทนโดยไม่ชักช้า เมื่อพิจารณาได้ว่าเหตุเป็นไปตามกรมธรรม์
    ถ้าจ่ายล่าช้าโดยไม่มีเหตุอันควร ถือเป็นการละเมิดสิทธิ


3. คำเตือนท้ายจดหมาย (ไม่จำเป็นแต่ช่วยบีบบริษัทได้)

ถ้าพี่ต้องการให้ดูจริงจังขึ้นอีกนิด อาจใส่ท้ายจดหมายว่า:

"หากยังไม่ได้รับการชดใช้สิทธิอย่างเป็นธรรม ข้าพเจ้าขอสงวนสิทธิในการดำเนินคดีตามกฎหมายต่อบริษัทประกันภัยดังกล่าว"

จะช่วยให้บริษัทฯ รู้ว่าเราจริงจัง ไม่ใช่แค่ร้องเรียนไปวันๆ


4. ขั้นตอนถัดไป หลังยื่นเรื่อง

  1. ยื่นที่ คปภ.สาขาใกล้บ้าน (นครศรีฯ) หรือส่งไปรษณีย์ลงทะเบียนถึง คปภ.ส่วนกลางก็ได้

  2. เก็บเลขรับเรื่องไว้ และโทรตามผลใน 7–10 วัน

  3. เมื่อมีนัดไกล่เกลี่ย ต้องเตรียมหลักฐานให้ครบ และพูดให้ชัดว่าทำไมเราควรได้เต็ม

















เรียนซ่อมคอมพิวเตอร์

เทสเพาเวอร์

ดีบักการ์ด